โรควัณโรค (Tuberculosis หรือ TB)
2015-08-14 16:26:38 จำนวนผู้เข้าชม
โดย ".DIS&HA
โรงพยาบาลนครปฐม
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่สำคัญและยังเป็นปัญหาสาธารณสุข เป็นสาเหตุการป่วยและการตายของหลายประเทศทั่วโลก การระบาดของวัณโรคเพิ่มมากขึ้นมีหลายสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV, ความยากจน, ความแออัดของที่อยู่อาศัย, การอพยพผู้คน เป็นต้น ในปัจจุบันองค์การอนามัยโลกรายงานว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกติดเชื้อวัณโรคแล้ว โดยแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 8.8 ล้านคน และผู้ป่วยวัณโรคเสียชีวิตปีละประมาณ 1.7 ล้านคน
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium โดยในไทยสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุด คือ Mycobacterium Tuberculosis โดยส่วนใหญ่จะเกิดการติดเชื้อที่บริเวณปอด (ร้อยละ 80) แต่ก็ยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ระบบประสาท เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเชื้อวัณโรคสายพันธุ์อื่น (Non-Tuberculosis Mycobacteria หรือ NTM) ซึ่งพบได้น้อยและการศึกษาถึงแนวทางการรักษาเชื้อเหล่านี้น้อยกว่าเชื้อวัณโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งเป็นอันตรายหากเกิดการดื้อต่อยาของเชื้อ ทำให้ยาที่ใช้รักษาวัณโรคจะถูกจำกัดจำนวนให้น้อยลงและรักษาได้ยากขึ้น[1]
คุณลักษณะของเชื้อวัณโรค
- Mycobacterium tuberculosis มีรูปร่างแท่งไม่สามารถเคลื่อนที่ มีขนาดค่อนข้างใหญ่และต้องพึ่งพาออกซิเจนในการดำรงชีพ ด้วยเหตุนี้เองการติดเชื้อวัณโรคจะพบรอยโรคได้ที่ปอดกลีบบนเป็นส่วนใหญ่ เชื้อวัณโรคจะเข้าไปอาศัยและเจริญเติบโตช้าๆ (15-20 ซม.) เชื้อวัณโรคจัดอยู่ในกลุ่ม Acid-Fast bacteria เนื่องจากมีผนังเซลล์ที่หนา และมีส่วนประกอบสำคัญคือ mycolic acid ดังนั้นจำเป็นต้องอยู่ใรสภาวะกรด สีแกรมจึงจะสามารถผ่านเข้าเซลล์และย้อมติดสีได้ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญในการตรวจพบเชื้อนี้ ผู้ที่มีเชื้อวัณโรคอยู่แล้วซึ่งอาจจะมีอาการแสดงหรือไม่มีอาการของวัณโรคก็ได้ หากไอหรือจามเชื้อจะออกมาล่องลอยอยู่ในอากาศและเกาะกลุ่มกันเป็นหยดละอองซึ่งสามารถฟุ้งกระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจของผู้อื่น และทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ[1]
- การแพร่กระจายและพยาธิสภาพของวัณโรคปอด เชื้อวัณโรคจะแพร่กระจายจากปอด หลอดลม หรือกล่องเสียงของผู้ป่วยวัณโรค เมื่อผู้ป่วยไอ จาม พูดดังๆ ตะโกน หัวเราะหรือร้องเพลง เชื้อเหล่านี้จะอยู่ในละอองฝอย (droplets) ของเสมหะที่ออกมาสู่อากาศ อนุภาคของ droplets ขนาดใหญ่มากมักจะตกลงสู่พื้นดินและแห้งไป ส่วนที่มีเชื้อจะลอยอยู่ในอากาศได้หลายชั่วโมง[2]
อาการแสดงของวัณโรคสามารถแบ่งตามระยะของการติดเชื้อ[1] ดังนี้
1. Early infective :
- ภูมิคุ้มกันสามารถจัดการกับเชื้อ
- ไม่มีอาการแสดง
- อาจพบอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หายใจลำบาก
- การติดเชื้อไม่อาจก่อโรคได้
2. Early Primary progessive :
- ภูมิคุ้มกันไม่สามารถจัดการและควบคุมการเจริญของเชื้อได้
- เกิดการอักเสบที่เนื้อเยื่อที่มีการติดเชื้อ
- อาการ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ไข้ โดยเกิดอย่างไม่เฉพาะเจาะจง มีไอแห้งๆ
- ยากที่จะสามารถวินิจฉัยได้ด้วยภาพรังสีทรวงอกหรือผลเพาะเชื้อ
3. Late Primary progessive :
- อาการไอเพิ่มมากขึ้นและอาการแสดงต่างๆ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
- ปอดพบเสียง rales, น้ำหนักลดลงชัดเจน อาจมีโลหิตจาง
- วินิจฉัยพบเชื้อได้ด้วยผลเพาะเชื้อ ภาพรังสีทรวงอกพบรอยโรค
4. Latent Tuberculosis Infection :
- เชื้ออาศัยอยู่ในร่างกาย ไม่มีอาการแสดงเกิดขึ้น
- มีความไวต่อการติดเชื้อมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีภูมิคุ้มกันบกพร่องไป
- พบ Granuloma ที่ alveoli ซึ่งพบด้วยภาพรังสีทรวงอก
อาการที่สำคัญของวัณโรคปอด คือ ไอเรื้อรังติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ คือ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีไข้ (มักจะเป็นตอนบ่าย เย็น หรือตอนกลางคืน) ไอมีเลือดปน (hemoptysis) เจ็บหน้าอก หายใจขัด ในกรณีผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี อาการไอ ไม่จำเป็นต้องนานถึง 2 สัปดาห์ เหงื่อออกมากตอนกลางคืน เป็นข้อบ่งชี้ที่ควรสงสัยว่าอาจจะกำลังป่วยเป็นวัณโรคร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยวัณโรค[2]
1.การตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ : มีบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึง รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บางแห่งสามารถให้บริการได้
2.การถ่ายภาพรังสีทรวงอก : มีความไวค่อนข้างสูงแต่ความจำเพาะไม่สูง จึงต้องตรวจเสมหะควบคู่ไปด้วย
3.การตรวจเสมหะโดยการเพาะเลี้ยงเชื้อ : ทำในกรณีผู้ป่วยวัณโรคเสมหะไม่พบเชื้อ, ผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานที่ต้องตรวจเสมหะเพื่อติดตามการรักษา, ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคนอกปอด
4.การตรวจทางอณูชีววิทยา : มีความรวดเร็วในการช่วยวินิจฉัยเชื้อ และมีความไวในการตรวจพบสูง
5.วิธีการอื่นๆที่ช่วยในการวินิจฉัยวัณโรค :
- การทดสอบผิวหนัง (tuberculin skin test: TST) มีประโยชน์ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน BCG
- การตรวจ Interferon Gramma Release Assay (IGRA) เป็นการทดสอบ เพื่อวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝง
ยาที่ใช้รักษาวัณโรค
- ยาวัณโรคที่ใช้เป็นหลัก (First line drugs) ได้แก่
- ไอโซไนอะซิด (Isoniazid: H, INH
- ไรแฟมพิซิน (Rifampicin: R, RMP)
- พัยราซินาไมด์ (Pyrazinamide: Z, PZA
- อีแธมบูทอล (Ethambutol: E, EMB)
- สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin: S, Sm)
สูตรยาสำหรับผู้ป่วยใหม่ คือ 2HRZE/4HR
-
2 เดือนแรกรักษาด้วย 4 ขนานยา คือ H, R, Z และ E
4 เดือนต่อมารักษาด้วย 2 ขนานยา คือ H และ R
กระแสทั่วโลกในปัจจุบัน
- ได้กำหนด วันวัณโรคสากล วันที่ 24 มีนาคม
- WHO ได้ประกาศต่อสู้สู่จุดจบของวัณโรค เป้าหมายคือ หยุดการแพร่ระบาด และกำจัดเชื้อวัณโรค ร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ รวมไปถึงผู้ให้บริการทางการแพทย์ เป็นผู้ขับเคลื่อนและผลักดันโครงการเพื่อให้สำเร็จลุล่วง[3]
- ประเด็นในการรณรงค์[4]
1.“ค้นให้พบ จบด้วยหาย”
การเร่งค้นหาผู้ที่มีอาการเข้าได้กับวัณโรค และรักษาผู้ป่วยวัณโรคทุกรายให้หายขาด
2.“เข้าถึงทุกราย รักษาหายทุกคน”
ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติทุกชาติทุกคน ทั้งมีสิทธิการรักษาหรือไม่มีสิทธิการรักษาใดใด มีสิทธิที่จะได้รับการตรวจรักษาวัณโรคทุกคน
เอกสารอ้างอิง
1.นิตยาวรรณ กุลณาวรรณ, วีรชัย ไชยจามร, เสถียร พูลผล, เบญจพร กิ่งรุ่งเพชร์, สมหญิง พุ่มทอง, โพยม วงศ์ภูวรักษ์, และคณะ. การใช้ยาในการรักษาผู้ป่วยวัณโรค. เภสัชกรรมชุมชน. 2015;14(79):59-64.
2.สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ. 2556. 2556: หน้า 15.
3.WHO.int. World TB Day 2015: Gear up to end TB [Internet]. 2015 [cited 14 August 2015]. Available from: http://www.who.int/campaigns/tb-day/2015/en/
4.สํานักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. [อินเตอร์เน็ต]. 2558 [วันที่อ้างถึง 14 สิงหาคม 2558]. ที่มา: http://www.tbthailand.org/download/wordtbday.pdf